หน้าเว็บ

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อันตรายจากสเตียรอยต์(Sterroids)

     การรักษาอาการของภูมิต้านทานทำร้ายตนเองคือ การใช้ยาต้านการอักเสบเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาในกลุ่มของสเตียรอยด์ โดยทั่วไปจะใช้สเตียรอยด์หรือคอร์ติโคสเตียรอยด์กันมาก  การเอายากลุ่มนี้มาใช้ก็เพื่อวัตถุประสงค์ลดอาการเสียหายของเนื้อเยื่อที่เกิดอักเสบ จุดอ่อนของการรักษาแบบนี้คือ จะต้องใช้ยาตลอดไป แทบจะหยุดยาไม่ได้ ยากลุ่มสเตียรอยด์มีผลข้างเคียงมาก และร้ายแรง
          สเตียรอยด์ เป็นชื่อเรียกจากกลุ่มฮอร์โมนที่ถูกสร้างจากต่อมหมวกไตซึ่งที่ต่อมนี้จะสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจน(ฮอร์โมนชาย)ด้วย สำหรับสเตียรอยด์ที่ใช้ในทางการแพทย์นั้น เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค รวมถึงใช้ทดแทนในกรณีร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนดังกล่าวได้ กฎหมายกำหนดให้เป็นยาควบคุมพิเศษ เนื่องจากความเป็นพิษสูง และให้แพทย์เป็นผู้สี่งยาเท่านั้น
          ประโยชน์ของสเตียรอยด์
  • ใช้เพื่อทดแทนการขาดฮอร์โมน โดยปกติจะใช้สเตียรอยด์เพื่อทดแทนการขาดฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต ที่มีสาเหตุมาจาก ความบกพร่องของต่อมหมวกไต และความบกพร่องของต่อมใต้สมองส่วนหน้า
  • ใช้รักษาโรคต่างๆ สเตียรรอยด์จะถูกใช้เมื่อใช้ยาอื่นไม่ได้ผล หรือโรคนั้นไม่อาจควบคุมได้จากยาอื่น เนื่องจากมีอาการข้างเคียงสูง วัตถุประสงค์ที่นำสเตียรอยด์ไปใช้เพื่อบรรเทาอาการอักเสบ/หรือกดภูมิคุ้มกันในโรคต่างๆ อาทิ
  1. โรคภูมแพ้ สเตียรอยด์ เมื่อใช้ในโรคภูมิแพ้จะให้ผลดีและรวดเร็วในการควบคุมอาการหลายอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับโรคภูมิแพ้ เช่น หอบหืด ไข้หวัดเรื้อรังชนิดแพ้อากาศ ไข้ละอองฟาง
  2. การแพ้ยาและและโรคคันตามผิวหนังที่เกิดจากอาการแพ้ เนื่องจากยามีอันตรายจากใช้สูง  จึงเก็บไว้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ และใช้ระยะเวลาสั้น เช่น เป็นโรคหวัดคัดจมูกเรื้อรังชนิดแพ้อากาศ ที่ใช้ยาต้านฮีตามินไม่ได้ผล  หรือเป็โรคหืด  ใช้ยาขยายหลอดลมไม่ได้ผล
  3. โรคผิวหนัง สเตียรอยด์ สามารถใช้ลดอาการทางผิวหนังที่เกิดอาการแพ้ การอักเสบและโรคผิวหนังที่ทำให้เกิดอาการคันต่างๆ แต่การใช้สเตียรอยด์ ไม่ใช่เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ เป็นเพียงรักษาอาการคันและอาการอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา ดังนั้น เมื่อหยุดยาก็กลับมาเป็นอีก และอาจมีผลลุกลามได้ เพราะสเตียรอยด์มีผลในการกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  4. โรคตา สเตียรอยด์ ใช้ในการรักษาโรคของตาที่เกิดอาการแพ้ เช่นอาการเคืองตา เนื่องจากแพ้สารบางชนิด ที่ไม่ใช่จากการติดเชื้อ  ซึ่งแพทย์มักรักษาด้วยการใช้ยาหยอดตา ดังนั้นจึงห้ามใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ในกรณีที่ติดเชื้อ และยานี้ไม่มีผลในการรักษาต้อ-กระจกตา นอกจากนี้หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้นจนเกิดเป็นโรคต้อหินได้
  5. โรคข้ออักเสบชนิดรูมาตอยด์ การรักษาโรคนี้ปกติจะใช้ยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ก่อน หาดมีอาการอักเสบที่รุนแรงแพทย์อาจพิจารณาให้สเตียรอยด์ เพื่อบรรเทาอาการเฉพาะครั้ง กรณีที่มีการอักเสบเฉพาะบางข้อนั้น การฉีดสเตียรอยด์เข้าข้อ อาจช่วยลดอาการอักเสบได้ในระยะแรก อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อในข้อร่วมด้วยห้ามฉีดยา

อันตรายจากการใช้สเตียรอยด์
                     เนื่องจากสเตียรอยด์เป็นยาซึ่งมีผลต่อระบบต่างๆในร่างกายแทบทุกระบบ การใช้สเตียรอยด์อาจนำไปสู่อันตรายมากมาย ได้แก่
  • การติดเชื้อ การใช้สเตียรอยด์ในขนาดสูงมีผลกดภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้เกิดอาการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ได้ง่าย นอกจากนี้สเตียรอยด์ยังอาจบดบังอาการแสดงของโรคติดเชื้อ ทำให้ตรวจพบโรคเมื่ออาการรุนแรงขึ้น
  • กดการทำงานของระบบที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมน ระบบที่ทำหน้าที่ควบคุมการหลั่งสเตียรอยด์ฮอร์โมน ประกอบด้วยอวัยวะที่สำคัญในร่างกาย 3 แห่ง ด้วยกันคือ ฮัยโธปาลามัส ต่อมพิทูตารี และต่อมหมวกไต ในภาวะที่มีระดับคอร์ติโอโซล ให้เลือดสูงจะมีการกระตุ้นจากฮัยโปธาลามัสไปยังต่อมหมวกไตให้ลดการสร้างสเตียรอยด์ ในทางตรงกันข้ามถ้าระดับของคอร์ติโอโซลต่ำ จะมีผลให้ต่อมหมวกไต สร้างฮอร์โมนนี้เพิ่มขึ้น
  • การให้สเตียรอยด์ขนาดสูง จะไปกดการทำงานของระบบอวัยวะที่ทำหน้าที่สร้างและควบคุมการหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้ มากน้อยขึเนอยู่กับขนาดของยา และที่ได้รับและระยะเวลาในการใช้ยา เช่นถ้าใช้สเตียรอยด์เทียบเท่ากับเพรดนิโซโลน 15 มิลลิกรัมต่อวัน แทบจะไม่มีผลที่จะกดการทำงานของระบบนี้เลย แต่ถ้าให้ขนาดสูงเทียบเท่าเพรดนิโซโลน 15 มิลลิกรัมต่อวันเป็นเวลานาน จะมีผลต่อร่างกาย หากหยุดใช้ยา ร่างกายจะไม่สามารถสร้างฮอร์โมนนีได้เพียงพอ โดยเฉพาะเวลาเครียด
  • แผลในกระเพาะอาหาร มีผลทำให้เยื่อบุในกระเพาะอาหารบางลง และยับยั้งการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ทดแทน ในผู้ป่วยบางรายพบว่ามีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นด้วย การใช้สเตียรอยด์อาจทำให้กระเพาะอาหารทะลุ หรือเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ โดยไม่มีอาการปวดมาก่อน
  • ผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ผู้ใช้ยามีอาการเสพติดยา
  • นอนไม่หลับ เจริญอาหาร หงุดหงิด
  • กระดูกผุ (Osteoporosis)
  • ยับยั้งการเจริญเติบโตของร่างกาย การใช้ยาขนาดสูงในเด็ก
  • ทำให้ระดับโปแตสเซียมในเลือดต่ำ ทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือโปแตสเซียมทางปัสสาวะมาก ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้อไม่มีแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหยุดเต้นได้
  • ผลต่อตา ยาหยอดตาบางชนิดมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ไปนานๆทำให้ความดันลูกตาสูง มีอาการติดเชื้อง่าย อาจทำให้ตาบอด
  • ผลต่อผิวหนัง มีผลทำให้ผิวหนังบางเป็นรอยแตกและมีลักษณะเป็นมัน ถ้าทาบริเวณใบหน้าอาจทำให้มีผื่นแดง และมีอาการอักเสบของผิวหนังรอบๆ มีสิว
  • อ้วน ขนดก  ระบบประจำเดือนผิดปกติ ปวดหลัง บวมน้ำ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กรุณาใช้ภาษาที่สุภาพ