หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สเปรย์กันยุง เซ้นส์ แคร์


สเปรย์กำจัดไรฝุ่น


คลูโอ สมุนไพรกำจัดไรฝุ่น 200 ml. กลิ่นเปเปอร์มิ้น


------ขออภัยสินค้าหมดชั่วคราวค่ะ-----
คลูโอ สมุนไพรกำจัดไรฝุ่น ปั๊มสเปรย์ กลิ่นเปเปอร์มิ้น
หอมสดชื่น หลับสบายผ่อนคลาย หายภูมิแพ้
ขนาดบรรจุ 200 ml. ขนาดใหญ่ ใช้ในบ้าน
ราคา 480 บาท/ขวด
ค่าจัดส่ง EMS 50 บาท รอรับสินค้า 1-2 วันทำการ
ฉีดกำจัดไรฝุ่น ตามที่นอน หมอน พรมโซฟา ผ้าม่าน ตุ๊กตา
ลดอาการภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง หวัดเรื้อรัง
คุณสมบัติน้ำมันหอมระเหย ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับง่าย
ปลอดภัย ไร้สารเคมี อย 139/2555
ภายใต้สิทธิบัตรเลขที่คำขอ 0801005026 ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช
ผ่านการทดสอบการระคายทางผิวหนัง ปลอดภัยแม้ผิวเด็ก

คลูโอ สมุนไพรกำจัดไรฝุ่น ขนาด 120 ml. กลิ่นเปเปอร์มิ้น


คลูโอ สมุนไพรกำจัดไรฝุ่น
กลิ่นเปเปอร์มิ้น ปั๊มสเปรย์
ขนาด 120 ml. ขนาดเล็กสำหรับพกพา
ราคา 380 บาท / ขวด
ค่าจัดส่ง EMS 50 บาท รอรับสินค้า 1-2 วันทำการ
ฉีดกำจัดไรฝุ่น ตามที่นอน หมอน พรมโซฟา ผ้าม่าน ตุ๊กตา
ลดอาการภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง หวัดเรื้อรัง
คุณสมบัติน้ำมันหอมระเหย ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับง่าย
ปลอดภัย ไร้สารเคมี อย 139/2555
ภายใต้สิทธิบัตรเลขที่คำขอ 0801005026 ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช
ผ่านการทดสอบการระคายทางผิวหนัง ปลอดภัยแม้ผิวเด็ก

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Collagen + Triple Stem Cell




Collagen

คอลลาเจนคือสารที่คัดหลั่งมาจากเซลล์ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue cells) โปรตีซึ่งเป็นส่วนประกอบหลัก ๆ ของชั้นผิวหนัง ทำหน้าที่เป็นตัวประสานเนื้อเยื่อของผิวหนังเข้าด้วยกัน โดยโปรตีนชนิดนี้มีส่วนประกอบถึง 25% ถึง 35% ของจำนวนหน่วยโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย โดยมีมากที่สุดที่ผิวหนัง และ ประมาณ 1% ถึง 2% ที่ปะปนอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อ การผลิตเจลลาตินในอาหารได้จากกรรมวิธี การย่อยหน่วยคอลลาเจนที่เรียกว่า Hydrolysis
ลักษณะของคอลลาเจน
คอลลาเจน    คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นสายยาว ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างจากสารโปรตีนโดยทั่ว ๆ ไปเช่นแดียวกับเอนไซม์ สายเส้นใยของคอลลาเจนถูกเรียกว่า Collagen Fiber (คอลลาเจน ไฟเบอร์} ซึ่งจะมีลักษณะเป็นสายเกลียวที่มีหน่วยโมเลกุลเกี่ยวพันกันมากมาย โดยปกติทั่วไปผิวหนังที่มีคอลลาเจนเป็นโครงสร้างอยู่มากจึงมีแรงสปริงตัวและ ยืดหยุ่นได้ดีตามไปด้วย คอลลาเจนนั้นไม่ได้มีอยู่ที่ผิวหนังส่วนนอกเท่านั้น อวัยวะภายในร่างกายเอง ก็มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบอยู่มาก ได้แก่ ผังผืด (Fascia), กระดูกอ่อน (cartilage), เส้นเอ็น (ligaments), ข้อต่อ (tendons), กระดูก (bone) สารคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบหลักของชั้นผิวมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เคราติน Keratin
เคราตินมีหน้าที่สร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่น เมื่อสารเคราตินในชั้นผิวลดลง จึงเกิดริ้วรอยแห่งวัยขึ้นบนชั้นผิว, นอกจากนี้ เคราตินมีหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ รวมทั้งยังเป็นส่วนประกอบของเยื่อกระจกตาและเลนส์ตาด้วย
Hydrolyzed Collagen เองยังถูกใช้งานในแง่ของการลดน้ำหนักได้ด้วย เนื่องจากเป็นส่วนประกอบของโปรตีนจึงมีข้อดีในการช่วยเผาผลาญพลังงานลดไขมันส่วนเกิน
บทบาทคอลลาเจนในวงการแพทย์
คอลลาเจน มีการใช้งานอย่างกว้างขวางในวงการศัลยกรรมความงาม ศัลยกรรมกระดูก การจัดฟัน และวงการศัลยกรรมทั่วไป เป็นส่วนประกอบของผิวหนังสังเคราะห์ที่ใช้ในผู้ป่วยที่สูญเสียผิวหนังเนื่อง จากอุบัติเหตุไฟไหม้ ซึ่งใช้คอลลาเจนสังเคระห์จากผิวหนังของลูกวัว (Bovine), หรือจากหมู (Equine, Porcine) บางครั้งจะใช้ผิวหนังจากผู้บริจาค หรือใช้ซิลิโคนสังเคราะห์แทน
คอลลาเจนได้มีการจำหน่ายในลักษณะของ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนช่วยเคลื่อนไหว เนื่องจากคอลลาเจนเมื่อรับประทานเข้าไปจะย่อยสลายเป็นโปรตีนและกรดอะมิโนใน ที่สุด จึงช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอโดยวิธีรับประทานได้น้อยมาก ดังนั้น วงการแพทย์ในปัจจุบันจึงมีการใช้คอลลาเจนในแง่ของศัลยกรรมความงามมากที่สุด
วิธีที่จะเพิ่ม คอลลาเจนนั้น ทำได้หลายวิธี
1.       การฉีดคอลลาเจนโดยตรง จากแพทย์


2.       รับประทานอาหารที่ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ได้แก่ บีตา-แคโรทีน วิตามินซี, วิตามินอี
การนำเอาคอลลาเจนที่ดีที่สุดมาเป็นส่วนประกอบสำคัญของ จูนทริปเปิ้ล ซี คอลลาเจน + สเต็มเซลล์
ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารเพื่อ การชะลอความแก่ ซ่อมแซมและบำรุงลึกถึงชั้นเซลล์ 










รู้จักโรคปอดบวมในเด็กเล็ก




รู้จักโรคปอดบวมในเด็กเล็กหรือยัง?  (Mother & Care)

          โรคปอดบวม คือ อาการอักเสบ ที่เกิดขึ้นบริเวณเนื้อปอด หลอดลม ถุงลมต่างๆสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กเล็กที่สำคัญ ข้อมูลการสำรวจขององค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟ ปี 2549 พบว่าโรคปอดบวม เป็นโรคที่ทำให้เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเสียชีวิตในปีหนึ่งๆ มีจำนวนมากกว่า 2,000,000 คน/ปี  Mother & Care จึงนำข้อมูลเรื่องสุขภาพของลูกน้อย ที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้จัก รู้ทันและป้องกันการเจ็บป่วยมาบอกค่ะ

          รู้จักอาการ

          อาการเบื้องต้นมักเริ่มจากการมีน้ำมูกหรือมีไข้ ตัวร้อน คล้ายการเป็นไข้หวัดในเด็กเล็กทั่วไป แต่มีข้อสังเกตที่ต้องระวังกับอาการผิดปกติต่อไปนี้

            ไข้สูง ไอ หายใจเหนื่อย

            ไอมาก ลักษณะไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะ

            ได้ยินเสียงหายใจครืดคราด เนื่องจากมีเสมหะมากและเหนียว

            ลูกหายใจเร็วกว่าปกติ (เด็กปกติจะมีอัตราการหายใจประมาณ 20-40 ครั้งต่อนาที)

            มีอาการหอบเหนื่อย เวลาหายใจจมูกจะบาน ช่วงหน้าอกและท้องจะบุ๋ม

            กินอาหารไม่เป็นปกติ มีอาการซึม

          หากพบว่า ลูกน้อยมีอาการผิดปกติดังกล่าว คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบพาลูกไปหาคุณหมอโดยเร็ว เพื่อเข้ารับการรักษาให้ทันท่วงที

          ความรุนแรงของโรคปอดบวม

          เกิดได้จากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นเชื้อที่ร่างกายสามารถกำจัดออกได้ แต่หากเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดที่รุนแรง อาจทำให้ระบบหายใจล้มเหลวหรือเสียชีวิตได้ ซึ่งพบว่า เชื้อนิวโมคอคคัสเป็นชื่อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุใหญ่ ทำให้เกิดโรคปอดบวมและโรคติดเชื้อรุนแรง เช่นการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เกิดหูน้ำหนวก ไซนัสอักเสบ หากลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด เยื่อหุ้มสมอง ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นกลุ่มโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดรุนแรงหรือที่เรียกว่า “ไอพีดี”

          การวินิจฉัยโรค

          ในเบื้องต้น จำเป็นต้องอาศัยประวัติ ข้อมูลอาการต่างๆ ของลูกน้อยจากคุณพ่อคุณแม่ ร่วมกับการตรวจร่างกายเพื่อวินิจฉัยโรค ในรายที่เป็นไม่มากการใช้เครื่องมือฟังปอดอาจจะยังไม่ชัดเจน ต้องใช้วิธีเอกซเรย์ปอดช่วยวินิจฉัยด้วย ทั้งนี้  จะทำเฉพาะในรายที่คุณหมอเห็นสมควร และจำเป็นเท่านั้นค่ะ

          การรักษา

          • อาการไม่มาก สังเกตเสียงผิดปกติของปอดได้ ก็อาจใช้แค่ให้ยากินอย่างเดียว ไม่ต้องฉีดยา คุณหมออาจจะนัดฟังปอดอีกครั้ง

          • หากสามารถเล่นและกินอาหารได้ดี แต่หายใจเร็วเล็กน้อย อาจฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อและรอดูอาการ และนัดฟังปอด เมื่ออาการดีขึ้นก็จะเปลี่ยนเป็นยากินแทน

          • กรณีที่มีอาการเป็นมาก ไข้ไม่ลด ซึมลง จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพราะต้องให้ออกซิเจน และความชื้น ให้น้ำอย่างเพียงพอ และให้ยาทางหลอดเลือดดำ และอาจต้องเคาะปอดและดูดเอาเสมหะออก

          การดูแลและป้องกันโรคปอดบวม

          สิ่งสำคัญ ในการดูแลลูกน้อยที่ป่วยเป็นโรคปอดบวม คือการปฏิบัติตามคำสั่งของคุณหมออย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกลับมาอีกครั้ง ทั้งนี้ โรคปอดบวมสามารถป้องกันได้ในเบื้องต้นโดย

            สร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ โดยให้ลูกกินนมแม่

            เมื่อไม่สบายเป็นไข้ ควรเช็ดตัว และให้ลูกดื่มน้ำให้มาก และให้ยาตามอาการ

            ดูแลเรื่องสุขอนามัย ความสะอาด ความอบอุ่น

            หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ช้อน แก้วน้ำ ของเล่น

            การรับวัคซีนป้องกันโรค เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ทั้งนี้ควรปรึกษาหรือขอคำแนะนำจากคุณหมอก่อน




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 (Mother & Care)

How do you become allergic to house dust mites?

How do you become allergic to house dust mites?

The excretion of the mites contains a number of protein substances. When these are inhaled or touch the skin, the body produces antibodies. These antibodies cause the release of a chemical called histamine that leads to swelling and irritation of the upper respiratory passages - typical asthma and hay fever symptoms. The predisposition for allergy is often hereditary.
Unlike pollen, dust mites are present all year round causing constant allergy - 'perennial' allergic rhinitis. The excretion from the mites dries out and can be launched into the air when someone walks over a rug, sits down in a chair, or shakes the bed clothes, giving allergic people immediate symptoms.
What are the symptoms of house dust mite allergy?
  • Hay fever, runny nose, itching, sneezing.
  • Watering eyes.
  • Asthma, difficulty in breathing.
  • Infantile eczema (a skin disease) may get worse.
What makes the symptoms worse?
  • Air pollution such as tobacco smoke or car fumes.
How does the doctor make the diagnosis?
It is often enough to tell the doctor when, where and how you get the symptoms. Skin tests and various blood tests can be used for confirmation.
Good advice
It is best to do everything possible to avoid hypersensitivity to house dust mites. People who have perennial rhinitis, inflamed mucous membrane of the nose, or are allergic to house dust mites should try to adapt their homes.
  • Have as little furniture as possible in which mites can live.
  • Clean walls, woodwork and floors with wet cloths. The floor can be polished.
  • Only use rugs that can be washed once a week.
  • Use bedding that can be washed often, cotton sheets, washable bottom sheets and synthetic blankets or duvets. Don't use woollen blankets or quilts.
  • Make sure your chairs are made of wood or plastic.
  • If you can, use plastic curtains and dust them daily.
  • Use wet cloths and a vacuum cleaner with a no bag vortex and allergen filter to clean the house thoroughly, preferably every day, but at least twice a week.
  • Avoid dust traps like teddy bears, cushions, dried flowers, bric-a-brac and toys.
  • Wash bedding etc at a temperature of at least 60°C to kill the house dust mites.
  • Leave bedding, duvets, pillows and mattress hanging outside for an hour every day or as often as practical.
  • Put duvets and pillows in plastic bags and put them in the freezer for 24 hours at least once a month.
  • You may want to sleep on a cheap mattress that you can exchange for a new one at least every six months.
  • Dust mites hate dry and cold air, so try to air the house every day and don't use an air humidifier, which will only make matters worse. If the lower edge of the window is moist when you wake up in the morning, there is too much humidity in the air.
  • Do not spray the house, it may worsen your symptoms.
  • Do not touch dusty objects like books and old clothes.
  • When you are likely to be exposed to substances that give you a reaction, eg when you are house cleaning, you should wear a mask.
  • Don't allow smoking in the house.
What complications are possible?
  • You are predisposed to other respiratory diseases.
  • You are also predisposed to otitis, inflammation of the ear.
  • You may have trouble sleeping and suffer from chronic fatigue.
  • Hospitalisation following a severe asthma attack.
Future prospects
If you are allergic to house dust mites, it is important that you don't expose yourself to the dust mite allergen because it increases your chances of developing asthma. The best remedy against house dust mites is described under the heading 'Good advice' above.
Your symptoms can be controlled by treatment, but you can't escape your hypersensitivity. If severe dust mite allergy is the only form of allergy you suffer from, your doctor may want to try hyposensitisation - a 'vaccination' against the allergen. This tolerance treatment involves regular allergen injections in increased doses over a period of five years, but is not routinely given and is not always successful

พิชิตไรฝุ่น บอกลาภูมิแพ้

พิชิตไรฝุ่นบอกลาภูมิแพ้



หากอาการน้ำมูกไหล จมูกฟึดฟัด จาม และคันจากโรคภูมิแพ้เป็นหนักทำให้คุณต้องชื้อกระดาษทิชชูมาตุนไว้เต็มบ้าน
เพื่อรับมือกับอาการเหล่านี้คุณน่าจะหันมาปรับเปลี่ยนร่างกายให้ทำสงครามตอบโต้การโจ
มตีจากโรคภูมิแพ้
ที่ทำเอาคุณย่ำแย่มานานปีเสียที จะได้จบสิ้นอาการที่น่ารำคาญลงได้ ภาวะภูมิแพ้อาจไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
แต่ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน 20 วิธีต่อไปนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ใช้ป้องกันตัวเองจากโรคนี้

  • . เลือกกินเนื้อไก่แทนเนื้อวัว ผลงานวิจัยโครงการ 2 ปี ที่ศึกษาผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหวัดแพ้อากาศ 334 ราย และผู้ที่ปกติดี 1,336 ราย

พบว่าผู้ที่ได้รับกรดไขมันแปรรูปทรานส์โอเลอิก (รูปแบบหนึ่งของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว) ในอาหารโดยเฉพาะเนื้อวัว
และผลิตภัณฑ์จากนมวัวปริมาณสูงสุด มีแนวโน้มเป็นโรคหวัดแพ้อากาศมากเป็น 3 เท่าของผู้ที่ได้รับกรดไขมันดังกล่าวในปริมาณต่ำสุด
โชคยังดีที่น้ำมันมะกอกแม้จะมีกรดโอเลอิกอยู่มากแต่ก็ไม่ได้อยู่ในรูปของไขมันแปรรูป
หรือ ไขมันทรานส์

  • . กินน้ำมันปลาหนึ่งเม็ดเป็นอาหารเสริมทุกเช้าหลังแปรงฟัน การศึกษาผู้ที่เป็นโรคหอบหืดชนิดเกิดจากภูมิแพ้

พบว่าผู้ที่กินน้ำมันปลาเป็นประจำทุกวันนาน 1 เดือนจะมีระดับลูไคไทรอีนส์ซึ่งเป็นสารเคมีที่ก่อเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ลดลง

  • เปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะไม่เพียงช่วยขจัดความชื้อซึ่งอาจก่อเชื้อรา แต่ยังกรองสารก่อภูมิแพ้ที่จะเข้ามาในบ้าน

หมั่นทำความสะอาดหรือเปลี่ยนที่กรองบ่อยๆ มิฉะนั้นอาจกลับทำให้แย่ลงได้

  • กินกีวี1 ผลทุกเช้า วิตามินซีในผลกีวีเป็นสรต้านฮิสตามีนตามธรรมชาติ การศึกษาบางชิ้นพบว่าการมีระดับวิตามินซีต่ำ

มักทำให้เกิดภูมิแพ้ จึงควรกินวิตามันซีเสริมทันทีเมื่อมีอาการกำเริบ เราอาจเลือกผลไม้อื่นที่มีวิตามินซีสูงเช่น มะขามป้อม

  • . ทำความสะอาดเครื่องเรือนและพรมด้วยเครื่องดูดฝุ่นไอน้ำ เติมสารละลายไดโซเดียมออกตาบอเรตเตตร้าไฮเดรต หรือ ดีโอที

ซึ่งได้จากธาตุโบรอนลงในน้ำด้วย วารสารAllergy ฉบับปี 2547 ตีพิมพ์ผลการศึกษาหนึ่งว่า สารดีโอทีช่วยลดปริมาณตัวไรฝุ่นและลดสารภูมิแพ้จากไรฝุ่นลงในระดับที่ปลอดปฏิกิริยาต่อร่างกายได้นาน 6 เดือน


  •  หมั่นทำความสะอาดรางน้ำไม่ให้อุดตัน เพราะจะเป็นที่เติบโตของเชื้อราซึ่งเป็นตัวทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบหนักขึ้น


  •  เปิดพัดลมดูดอากาศขณะอาบน้ำหรือเปิดหน้าต่างให้มีอากาศถ่ายเทอยู่เสมอ หลังการอาบน้ำ หมั่นดูแลห้องน้ำให้แห้งเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อรามีโอกาศเจริญเติบโต


  • . ใช้น้ำร้อนล้างม่านกันส่วนอาบน้ำ และนำออกซักด้วยน้ำยาฟอกขาวทุกเดือน รวมถึงถอดฝักบัวอาบน้ำออกทำความสะอาดทุก 2-3 เดือน


  •  เปิดหน้าต่างรับแสงแดดในฤดูหนาว แสงแดดธรรมชาติช่วยขับไล่ความชื้น ทำให้อากาศแห้ง ไม่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อรา


  • . ซักเครื่องนอนในน้ำร้อนทุกสัปดาห์ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดไรฝุ่นตัวจิ๋วที่น่ารำคาญ ซึ่งพิสมัยเตียงนอนของคุณมากกว่าเจ้าของเตียงเสียอีก


  • . ตามไปดูที่ปลายช่องระบายอากาศของเครื่องอบผ้า ให้แน่ใจว่ามันยื่นออกไปนอกบ้าน ในกระบวนการอบผ้าหลังการซักทุกครั้งจะมีความชื้นราว 20 ปอนด์เล็ดลอดออกไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง ควรตามท่อไปดูว่าเชื้อราได้ก่อตัวอยู่ตรงบริเวณช่องระบายอากาศนั้นหรือไม่


  •  ทำความสะอาดถาดรองน้ำใต้ตู้เย็นด้วยสารฟอกขาวแล้วโรยเกลือ การเติมเกลือลงไปช่วยลดอัตราการเจริญเติบโตของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ


  • . รดน้ำไม้กระถางแต่พอประมาณ อย่าลืมโรยก้อนกรวดบนหน้าดินในกระถางทุกใบเพื่อป้องกันไม่ให้สปอร์เชื้อราลอยฟุ้งขึ้

นไปในอากาศ

  • ใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์จัดเก็บบ้านให้สะอาด โละเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่คุณไม่เคยใช้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาทิ้งไป ย้ายอุปกรณ์กีฬาให้เข้าที่เข้าทาง ทำความสะอาดรองเท้าทุกคู่ เก็บใส่ถุงแขวนให้เป็นระเบียบ เมื่อทำเสร็จคุณจะมองเห็นพื้นตู้และฝาหลังตู้ได้อีกครั้ง ที่นี้ดูดฝุ่นทุกสิ่งทุกอย่างให้สะอาด ปริมาณฝุ่นในบ้านจะลดลงมากทีเดียว


  • . ปิดประตูห้องนอนไม่ให้สุนัขและแมวเข้ามาได้ วิธีนี้ช่วยลดรังแคหรือสะเก็ดผิวหนังแมวและสุนัขที่หลายคนมีอาการแพ้ได้ดี


  • . เลือกพรมเช็ดเท้าชนิดที่ทำจากสารสังเคราะห์ พรมเช็ดเท้าที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ(พวกเครื่องจักรสาน) อาจเปื่อยหรือผุจนกลายเป็นแหล่งอาหารของเห็บหมัด หรือเชื้อรา จนกระทั่งมันมาสถิตย์อยู่ในบ้าน จึงควรซักล้างพรมเช็ดเท้าทุกอาทิตย์

  •  ทำความสะอาดเศษแมลวที่ค้างอยู่ที่ระเบียงหรือซุ้มประตูทางเข้าบ้าน เมื่อเศษแมลงย่อยสลาย มันจะกลายเป็นแหล่งสารก่อภูมิแพ้เลยทีเดียว


  •  ทำชั้นวางรองเท้าไว้หน้าบ้าน และถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน เพื่อลดปริมาณฝุ่น เชื้อราและสารก่อภูมิแพ้อื่นๆที่อาจติดเข้ามา


  •  อ่านฉลากให้ดี หลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่สารเติมแต่งชนิดโมโนโซเดียมเบนโซเอต มีกรณีศึกษาของอิตาลีพบว่าสารชนิดนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการคล้ายอาการภูมิแพ้ เช่น น้ำมูกไหล จาม แน่นจมูก ในกลุ่มผู้ที่ได้ได้เป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน นอกจากนี้ยังมักพบสารกันบูดในน้ำส้มคั้น ใส้ขนมพาย อาหารดอง มะกอก และน้ำสลัดอีกด้วย


  • หมั่นทำความสะอาดและกำจัดไรฝุ่นภายในบ้าน เตียงนอน อย่างเคร่งครัด ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มาจากสารสกัดธรรมชาติ ปลอดสารเคมี







Stem Cell

Stem Cell


เซลล์ต้นกำเนิด หรือ สเต็มเซลล์ (Stem Cell)
         เป็นเซลล์ที่ไม่จำเพาะ ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการแบ่งตัวให้เป็นเซลล์ของเนื้อเยื่อชนิดต่างๆในร่างกายได้ โดยยังคงมีความสามารถในการแบ่งตัวเองให้เป็นเซลล์ต้นกำเนิดเหมือนเดิมด้วย และสามารถพัฒนาเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จำเพาะได้ พบได้จากตัวอ่อนระยะ blastocyst และในเนื้อเยื่อที่โตเต็มวัย เช่น เลือด ไขกระดูก ฟันน้ำนม ผิวหนัง ปัจจุบันได้มีนักวิจัยมากมายที่สนใจในการนำสเต็มเซลล์มาใช้ในการรักษาโรค เช่น ธาลัสซีเมีย ลิวคิเมีย อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน อัมพาตไขสันหลัง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เบาหวาน ให้หายขาดได้
สเต็มเซลล์พบได้ในสายสะดือ เลือด และไขกระดูก เป็นที่ทราบในทางการแพทย์ว่ามีความสำคัญต่อการสร้างระบบเลือด รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งในผู้ใหญ่จะเป็นสเต็มเซลล์จากไขกระดูกที่มีหน้าที่สร้าง เม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเซลล์ที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
อาการตาพร่ามัวและการมองเห็น ตั้งแต่ปี 2003 นักวิจัยได้ประสบความสำเร็จในการปลูกถ่าย Stem Cell กระจกตาซ่อมแซมนัยต์ตาที่เสียหายเพื่อเรียกคืนการมองเห็น เมื่อแผ่นเหล่านี้ถูกปลูกถ่ายลงในกระจกตาที่เสียหาย Stem Cell กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหายจนทำให้กลับมามองเห็นอีกครั้ง
มิถุนายนปี 2005 ทีมนักวิจัยที่นำโดย ดร. Sheraz Daya โรงพยาบาลสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียของซัสเซ็กซ์ ประเทศอังกฤษ ประสบความสำเร็จในการทำให้ตากลับมามองเห็นได้อีกครั้ง จากสี่สิบผู้ป่วยที่ใช้เทคนิคเดียวกัน ในการใช้ Stem Cell จากตัวเอง ญาติ หรือแม้กระทั่งจากเซลล์ของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว และปัจจุบันยังมีการทดลองใช้ Stem Cell รักษากระจกตาอยู่อย่างต่อเนื่อง
เมษายน 2005 แพทย์ในอังกฤษทำการปลูกถ่าย Stem Cell ที่กระจกตาจากผู้บริจาคอวัยวะกับกระจกตาของเดโบราห์ แคทีลน์ หญิงตาบอดหนึ่งข้างจากการสาดกรดใส่ตาของเธอที่ไนท์คลับ กระจกตาซึ่งเป็นหน้าต่างของดวงตาที่โปร่งใสเป็นช่องทางที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการปลูกถ่าย Stem Cell ในความเป็นจริงก่อนการปลูกถ่าย Stem Cell ของมนุษย์ที่ประสบความสำเร็จคือการปลูกถ่ายกระจกตา เพิ่มหลอดเลือดภายในกระจกตาทำให้พื้นที่เป้าหมายที่ค่อนข้างง่ายสำหรับการปลูกถ่าย Stem Cell นี้
โรง พยาบาลมหาวิทยาลัยของรายงานที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ รายงานอัตราความสำเร็จของการ เจริญเติบโตของเซลล์ใหม่จากการปลูกถ่าย Stem Cell แตกต่างกันจากร้อยละ 25 ถึงร้อยละ 70 ปี 2009 นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยศูนย์การแพทย์พิตส์เบิร์ก แสดงให้เห็นว่าเซลล์ต้น กำเนิดที่ได้จากกระจกตาที่มนุษย์สามารถนำกลับมาใช้ใหม่โดยปราศจากการตอบสนองที่กระตุ้นให้เกิดการปฏิเสธ Stem Cell ของกระจกตา มกราคม 2012 หนังสือพิมพ์ Lancet โดย Dr. Steven Schwartz ที่ UCLA ของ UCLA's Jules Stein สถาบันตา เขียนรายงานเกี่ยวกับหญิงสองคนกลายเป็นคนตาบอดจากการเสื่อมสภาพตา หลังจากฉีดจอประสาทตาของมนุษย์ Stem Cell ตัว ทำให้การมองเห็นของพวกเธอดีขึ้นมาก

June Tripple C Collagen 
Innovation of Triple Stem Cell Nutritionals 
นวัตรกรรมการชะลอวัยด้วยสเต็มเซลล์ จากพืชที่ดีที่สุดและเห็นผลเร็วที่สุด